การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จในสิ่งใดๆ นั้น สิ่งที่เป็นคีย์แห่งความสำเร็จนอกจากความมุ่งมั่น มานะ พยายามของตัวเราเองที่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว วิธีการที่ดีนี่แหละที่จะเป็นปัจจัยอีกหนึ่งตัวที่สำคัญในความสำเร็จ ทุกๆ คนต่างมีรูปแบบ แนวทาง หรือวิธิการที่เป็นของตัวเอง ซึ่งผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีการในการทำงานใดๆ ที่แตกต่างกันออกไปแน่นอน เนื่องจากวิธีการที่ดีที่สุดมักจะเป็นวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในขณะที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด นั่นแหละครับประเด็นสำคัญ และในการลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันครับเพื่อนๆ ต้องหาวิธีการ รูปแบบ และแนวทางของตัวเองให้พบ และมุ่งมั่นมีวินัยกับแนวทางนั้นๆ อยู่เสมอ ความสำเร็จมันไม่ไกลเกินเอื้อมเลยครับ ถ้าเพื่อนๆ ทำได้จริง ...ที่เกริ่นมาเนิ่นนาน ผมกำลังจะเล่าเรื่องประเภทของนักลงทุนในตลาดหุ้นให้ฟังนั่นเอง ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีแนวทาง วิธีการ หรือรูปแบบหลักๆ อย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท ฯลฯ เพื่อให้เพื่อนๆ ลองมองดูตัวเองและนำแนวทางนั้นไปใช้กับตัวเองนะครับประเภทที่ 1 นักลงทุนที่เข้ามา "ลงทุน" จริงๆ ต้องเน้นย้ำคำว่า ลงทุน ครับ เพราะนักลงทุนเหล่านี้เข้ามาเพื่อที่จะต้องการนำเงินที่เขามาลงทุนเพื่อต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ หรือบริษัทนั้นๆ เพื่อหวังผลกำไรจากผลประกอบการซึ่งแบ่งไปตามสัดส่วนของหุ้นที่เขาเหล่านั้นถือ เพื่อหวังรับเงินปันผลหัวปีท้ายปี หรือใดๆ ก็ตาม สิ่งที่แตกต่างคือ พวกเขาเหล่านี้ ไม่ค่อยที่จะนำเงินที่เข้ามาลงทุนออกไปมากนัก หรือขายหุ้นออกไปนั่นเอง เรียกว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ได้ ยาวมากๆๆๆๆ น่ะครับ คือถือหุ้นไว้กับตัวนานเป็นหลายปี หรือสิบปีเลยก็ได้ แน่นอนว่าก่อนที่จะนำเงินตัวเองเข้ามาลงทุนในกิจการใดๆ นานขนาดนั้น เขาเหล่านั้นจะต้องศึกษาข้อมูล ศึกษาบริษัท อะไรหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับกิจการที่เขาจะเข้าไปลงทุนเป็นอย่างดี เพื่อทำให้เชื่อได้ว่าเงินที่เขาลงทุนนั้นจะไม่สูญเปล่าไป ในระยะยาว เราจึงเรียกนักลงทุนประเภทนี้ว่า Value Investor หรือ VI ที่ภาษานักลงทุนใช้เรียกกันนั่นเอง นักลงทุนประเภทนี้นั่นก็คือนักลงทุนที่ ลงทุนอย่างมีคุณค่า นั่นเแหละถ้าแปลกันตรงๆ ตัว นักลงทุนแนว VI นี้นั้นเมื่อลงทุนในหุ้นตัวใดๆ แล้ว เขาจะถือยาวไปเลย ถึงขนาดไม่กลับมาดูอีก หากตัวเองแน่ใจแล้วว่าบริษัทหรือกิจการนี้มันจะต้องเติบโต และโตไปอีกนาน พอถึงตอนที่มันโตจนสูงสุดนั่นแหละครับ เขาถึงจะขายทิ้ง และนั่นหมายถึง กำไรมหาศาลลลล ประมาณว่าเกิน 100% ขึ้นไปอีกครับ เพื่อนๆ หลายๆ คนคงจะมักคุ้นเคย หรือเคยได้ยินได้ฟังชื่อ "วาเรนต์ บัฟเฟ่ท์" มาบ้าง นักลงทุนชาวอเมริกันที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดคนนึงของโลก ปู่บุฟเฟ่ เอ้ย บัฟเฟ่ท์ ผู้นี้มีเงินเป็นมหาศาลเพราะเขาแทบไม่เคยขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่เลย และเขาคนนี้นี่แหละครับคือปรมาจารย์ หรือ Idol ของนักลงทุนแนว VI ของโลกเลยก็ว่าได้ แต่การจะเป็นนักลงทุนประเภทนี้ แท้จริงนั้น ทำได้ยากเป็นอย่างยิ่งครับ ลองคิดดูซิครับ เพื่อนๆ จะถือหุ้นตัวใดๆ ได้นานขนาดหลายๆ ปีหรือไม่ พอเห็นได้กำไรซัก 5-10% ก็ถอนออกหมดแล้วจริงไหมครับ นี่แหละเป็นเหตุที่นักลงทุนหลายๆ คนยกบัฟเฟ่ท์เป็น Idol ของตัวเอง และอยากจะเป็นนักลงทุนแบบ VI เพื่อที่จะร่ำรวยแบบบัฟเฟ่ท์ แต่ไม่เคยทำได้หรอกครับ น้อยคนนัก เพราะขาดความ "อึด" หรือความอดทนนั่นเอง อดทนที่จะรอ อดทนที่จะดูกำไรเติบโต อดทนที่จะอดกินเล็กไปกินใหญ่ อะไรประมาณนั้น มันทำยากครับ จริงๆ
ประเภทที่ 2 นักลงทุนเก็งกำไร ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่าเข้ามาเก็งกำไร เข้าเร็ว ออกเร็ว ไม่ถือนาน นักเก็งกำไรเหล่านี้นั้นจะไม่เก็บหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ไว้ในพอร์ตนานนักครับ เมื่อเขาสบโอกาสได้กำไรในจำนวนที่น่าพอใจแล้วก็จะขายไปในทันที ซึ่งระยะเวลาในการถือหุ้นในพอร์ตแต่ละตัวนั้นก็อยู่ในช่วงระยะสั้นถึงระยะกลางครับ เช่น เป็นอาทิตย์ เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี บางคนเป็นนัก day trade จริงๆ ก็อาจเข้าเช้าออกเย็นเลยก็มีครับ นักลงทุนที่เป็นนักเก็งกำไรนั้นจะซื้อหุ้นแต่ละตัวก็ใช้พื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ เช่นกัน แต่เขาไม่ได้ดูอะไรมากมายครับ ให้รู้แค่ว่ากิจการดี งบดี ไม่เจ๊ง และไม่มีข่าวร้ายๆ เป็นพอ สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนแนวเก็งกำไรเหล่านี้ใช้ในการหาหุ้นที่จะลงทุน คือดู เทคนิคหุ้น ตัวนั้นๆ ครับและรวมถึงข้อมูลทางสถิติต่างๆ เทคนิคหุ้นนั้น เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ศึกษาและใช้กันมาช้านานแล้วครับ มีมากมายหลายเทคนิคเหลือเกิน ไปว่าจะเป็นการใช้ indicator หรือตัวชี้วัดต่างๆ การใช้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ การดูแนวโน้มของกราฟหุ้น กราฟแท่งเทียน ฯลฯ ให้ศึกษาจริงๆ ก็หนังสือเป็นเล่มๆ หลายเล่มด้วยล่ะครับ (ซึ่งผมจะค่อยๆ เพิ่มเติมความรู้เทคนิคหุ้นให้ทีละหน่อยนะครับ) นักลงทุนเหล่านี้จะวิเคราะห์หุ้นรายตัว โดยใช้เทคนิค เข้ามาช่วย ดูว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีสัญญาณอย่างไร เป็นจังหวะเข้าซื้อที่ดีหรือไม่ หรือว่าเป็นจังหวะที่ควรขายแล้ว จะให้พูดจริงๆ มันก็เป็นการคาดเดาอย่างหนึ่งนั่นแหละครับ แต่เป็นการคาดเดาที่ประกอบขึ้นด้วยทฤษฎีอ้างอิง ข้อมูลเชิงสถิติ ที่มีเหตุผลและเชื่อถือได้นั่นเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ก็จะมีนิสัยที่ต้องการเห็นความสำเร็จหรือผลกำไรที่รวดเร็ว ไม่ใช้เวลานาน และเป็นผู้ที่ต้องมีวินัยในการเทรดหรือการลงทุน ซื้อหุ้น อย่างมากครับ เพราะหากเล่นโดยเทคนิคแล้วขึ้นชื่อว่าเป็นการคาดเดาอย่างหนึ่งอะไรมันก็ไม่แน่นอนได้ครับ การมีวินัยคือต้องกำหนดเป้าหมาย กำไร ขาดทุนไว้อย่างดี หากเข้าผิดทางเกิดขาดทุน ก็จะต้องจำใจตัดขาดทุน หรือขายในราคาที่ขาดทุนในเป้าขาดทุนที่วางไว้ว่าไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป หากเพื่อนเป็นนักเก็งกำไรที่ไม่มีวินัยในการเทรดหรือซื้อขายหุ้นเลย เพื่อนๆ ก็จะผิดแนวทางปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์หุ้นลงก็บอกว่าเดี๋ยวก็ขึ้น คิดอย่างนี้ไม่ได้ครับ
เพื่อนๆ ก็ได้ทำความรู้จักกับประเภทของนักลงทุน 2 ประเภทหลักๆ ไปแบบคร่าวๆ แล้ว ให้เพื่อนได้ลองศึกษาและเรียนรู้ทำความเข้าใจกับนิสัยของตนเองว่าเหมาะสมที่จะเป็นนักลงทุนประเภทไหน พร้อมทั้งหาแนวทางของตัวเองให้เจอ สิ่งสำคัญหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้นต่างพากันเจ๊งขาดทุนกันไปตามๆ กัน คือ ขาดวินัย คำว่าวินัยนี้สำคัญเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ ต้องพยายามทำความเข้าใจและยึดปฏิบัติให้ได้ หลายคนเข้าซื้อหุ้นโดยจะเก็งกำไรหุ้นตัวนี้ พอเอาเข้าใจหุ้นร่วงขาดทุนไม่เป็นท่า แล้วปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ขึ้น จะลงทุนระยะยาวบ้าง บอกว่าตัวเองเป็นแนว VI บ้าง หรือเข้าซื้อหุ้นตามกระแสเป็นแมลงเม่า บอกว่าหุ้นตัวนี้ต้องดี ต้องขึ้นอีกเยอะ โดยไม่ดูพื้นฐานเลย ไม่ก็เห็นกำไรงดงามยังคงดื้อถือไว้ ทั้งๆ ที่ตลาดมันส่งสัญญาณลง หุ้นก็ลงตามขาดทุนกันไปอีก หรือกำไรหล่นหายไป เหล่านี้แหละครับ ขาดวินัย ต้องค้นพบแนวทางของตัวเอง และตั้งมั่นแน่วแน่กับแนวทางนั้น ห้ามเปลี่ยนแนวทางกลางคันโดยเด็ดขาด หากขาดวินัยก็จะนำมาซึ่งคำว่า เจ๊ง กับ เจ๊ง เท่านั้นครับ!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น