Today Trades: SYMC, BGH, INTUCH

11 พฤษภาคม 2554

คุณคือนักลงทุนแบบไหน??

          การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จในสิ่งใดๆ นั้น สิ่งที่เป็นคีย์แห่งความสำเร็จนอกจากความมุ่งมั่น มานะ พยายามของตัวเราเองที่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว วิธีการที่ดีนี่แหละที่จะเป็นปัจจัยอีกหนึ่งตัวที่สำคัญในความสำเร็จ ทุกๆ คนต่างมีรูปแบบ แนวทาง หรือวิธิการที่เป็นของตัวเอง ซึ่งผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีการในการทำงานใดๆ ที่แตกต่างกันออกไปแน่นอน เนื่องจากวิธีการที่ดีที่สุดมักจะเป็นวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในขณะที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด นั่นแหละครับประเด็นสำคัญ และในการลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันครับเพื่อนๆ ต้องหาวิธีการ รูปแบบ และแนวทางของตัวเองให้พบ และมุ่งมั่นมีวินัยกับแนวทางนั้นๆ อยู่เสมอ ความสำเร็จมันไม่ไกลเกินเอื้อมเลยครับ ถ้าเพื่อนๆ ทำได้จริง ...ที่เกริ่นมาเนิ่นนาน ผมกำลังจะเล่าเรื่องประเภทของนักลงทุนในตลาดหุ้นให้ฟังนั่นเอง ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีแนวทาง วิธีการ หรือรูปแบบหลักๆ อย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท ฯลฯ เพื่อให้เพื่อนๆ ลองมองดูตัวเองและนำแนวทางนั้นไปใช้กับตัวเองนะครับ
          ประเภทของนักลงทุนในตลาดหุ้นบนโลกนี้ แบ่งง่ายๆ ได้ 2 ประเภทด้วยกัน
          ประเภทที่ 1 นักลงทุนที่เข้ามา "ลงทุน" จริงๆ ต้องเน้นย้ำคำว่า ลงทุน ครับ เพราะนักลงทุนเหล่านี้เข้ามาเพื่อที่จะต้องการนำเงินที่เขามาลงทุนเพื่อต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ หรือบริษัทนั้นๆ เพื่อหวังผลกำไรจากผลประกอบการซึ่งแบ่งไปตามสัดส่วนของหุ้นที่เขาเหล่านั้นถือ เพื่อหวังรับเงินปันผลหัวปีท้ายปี หรือใดๆ ก็ตาม สิ่งที่แตกต่างคือ พวกเขาเหล่านี้ ไม่ค่อยที่จะนำเงินที่เข้ามาลงทุนออกไปมากนัก หรือขายหุ้นออกไปนั่นเอง เรียกว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ได้ ยาวมากๆๆๆๆ น่ะครับ คือถือหุ้นไว้กับตัวนานเป็นหลายปี หรือสิบปีเลยก็ได้ แน่นอนว่าก่อนที่จะนำเงินตัวเองเข้ามาลงทุนในกิจการใดๆ นานขนาดนั้น เขาเหล่านั้นจะต้องศึกษาข้อมูล ศึกษาบริษัท อะไรหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับกิจการที่เขาจะเข้าไปลงทุนเป็นอย่างดี เพื่อทำให้เชื่อได้ว่าเงินที่เขาลงทุนนั้นจะไม่สูญเปล่าไป ในระยะยาว เราจึงเรียกนักลงทุนประเภทนี้ว่า Value Investor หรือ VI ที่ภาษานักลงทุนใช้เรียกกันนั่นเอง นักลงทุนประเภทนี้นั่นก็คือนักลงทุนที่ ลงทุนอย่างมีคุณค่า นั่นเแหละถ้าแปลกันตรงๆ ตัว นักลงทุนแนว VI นี้นั้นเมื่อลงทุนในหุ้นตัวใดๆ แล้ว เขาจะถือยาวไปเลย ถึงขนาดไม่กลับมาดูอีก หากตัวเองแน่ใจแล้วว่าบริษัทหรือกิจการนี้มันจะต้องเติบโต และโตไปอีกนาน พอถึงตอนที่มันโตจนสูงสุดนั่นแหละครับ เขาถึงจะขายทิ้ง และนั่นหมายถึง กำไรมหาศาลลลล ประมาณว่าเกิน 100% ขึ้นไปอีกครับ เพื่อนๆ หลายๆ คนคงจะมักคุ้นเคย หรือเคยได้ยินได้ฟังชื่อ "วาเรนต์ บัฟเฟ่ท์" มาบ้าง นักลงทุนชาวอเมริกันที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดคนนึงของโลก ปู่บุฟเฟ่ เอ้ย บัฟเฟ่ท์ ผู้นี้มีเงินเป็นมหาศาลเพราะเขาแทบไม่เคยขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่เลย และเขาคนนี้นี่แหละครับคือปรมาจารย์ หรือ Idol ของนักลงทุนแนว VI ของโลกเลยก็ว่าได้ แต่การจะเป็นนักลงทุนประเภทนี้ แท้จริงนั้น ทำได้ยากเป็นอย่างยิ่งครับ ลองคิดดูซิครับ เพื่อนๆ จะถือหุ้นตัวใดๆ ได้นานขนาดหลายๆ ปีหรือไม่ พอเห็นได้กำไรซัก 5-10% ก็ถอนออกหมดแล้วจริงไหมครับ นี่แหละเป็นเหตุที่นักลงทุนหลายๆ คนยกบัฟเฟ่ท์เป็น Idol ของตัวเอง และอยากจะเป็นนักลงทุนแบบ VI เพื่อที่จะร่ำรวยแบบบัฟเฟ่ท์ แต่ไม่เคยทำได้หรอกครับ น้อยคนนัก เพราะขาดความ "อึด" หรือความอดทนนั่นเอง อดทนที่จะรอ อดทนที่จะดูกำไรเติบโต อดทนที่จะอดกินเล็กไปกินใหญ่ อะไรประมาณนั้น มันทำยากครับ จริงๆ
          ประเภทที่ 2 นักลงทุนเก็งกำไร ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่าเข้ามาเก็งกำไร เข้าเร็ว ออกเร็ว ไม่ถือนาน นักเก็งกำไรเหล่านี้นั้นจะไม่เก็บหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ไว้ในพอร์ตนานนักครับ เมื่อเขาสบโอกาสได้กำไรในจำนวนที่น่าพอใจแล้วก็จะขายไปในทันที ซึ่งระยะเวลาในการถือหุ้นในพอร์ตแต่ละตัวนั้นก็อยู่ในช่วงระยะสั้นถึงระยะกลางครับ เช่น เป็นอาทิตย์ เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี บางคนเป็นนัก day trade จริงๆ ก็อาจเข้าเช้าออกเย็นเลยก็มีครับ นักลงทุนที่เป็นนักเก็งกำไรนั้นจะซื้อหุ้นแต่ละตัวก็ใช้พื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ เช่นกัน แต่เขาไม่ได้ดูอะไรมากมายครับ ให้รู้แค่ว่ากิจการดี งบดี ไม่เจ๊ง และไม่มีข่าวร้ายๆ เป็นพอ สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนแนวเก็งกำไรเหล่านี้ใช้ในการหาหุ้นที่จะลงทุน คือดู เทคนิคหุ้น ตัวนั้นๆ ครับและรวมถึงข้อมูลทางสถิติต่างๆ เทคนิคหุ้นนั้น เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ศึกษาและใช้กันมาช้านานแล้วครับ มีมากมายหลายเทคนิคเหลือเกิน ไปว่าจะเป็นการใช้ indicator หรือตัวชี้วัดต่างๆ การใช้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ การดูแนวโน้มของกราฟหุ้น กราฟแท่งเทียน ฯลฯ ให้ศึกษาจริงๆ ก็หนังสือเป็นเล่มๆ หลายเล่มด้วยล่ะครับ (ซึ่งผมจะค่อยๆ เพิ่มเติมความรู้เทคนิคหุ้นให้ทีละหน่อยนะครับ) นักลงทุนเหล่านี้จะวิเคราะห์หุ้นรายตัว โดยใช้เทคนิค เข้ามาช่วย ดูว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีสัญญาณอย่างไร เป็นจังหวะเข้าซื้อที่ดีหรือไม่ หรือว่าเป็นจังหวะที่ควรขายแล้ว จะให้พูดจริงๆ มันก็เป็นการคาดเดาอย่างหนึ่งนั่นแหละครับ แต่เป็นการคาดเดาที่ประกอบขึ้นด้วยทฤษฎีอ้างอิง ข้อมูลเชิงสถิติ ที่มีเหตุผลและเชื่อถือได้นั่นเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ก็จะมีนิสัยที่ต้องการเห็นความสำเร็จหรือผลกำไรที่รวดเร็ว ไม่ใช้เวลานาน และเป็นผู้ที่ต้องมีวินัยในการเทรดหรือการลงทุน ซื้อหุ้น อย่างมากครับ เพราะหากเล่นโดยเทคนิคแล้วขึ้นชื่อว่าเป็นการคาดเดาอย่างหนึ่งอะไรมันก็ไม่แน่นอนได้ครับ การมีวินัยคือต้องกำหนดเป้าหมาย กำไร ขาดทุนไว้อย่างดี หากเข้าผิดทางเกิดขาดทุน ก็จะต้องจำใจตัดขาดทุน หรือขายในราคาที่ขาดทุนในเป้าขาดทุนที่วางไว้ว่าไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป หากเพื่อนเป็นนักเก็งกำไรที่ไม่มีวินัยในการเทรดหรือซื้อขายหุ้นเลย เพื่อนๆ ก็จะผิดแนวทางปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์หุ้นลงก็บอกว่าเดี๋ยวก็ขึ้น คิดอย่างนี้ไม่ได้ครับ
          เพื่อนๆ ก็ได้ทำความรู้จักกับประเภทของนักลงทุน 2 ประเภทหลักๆ ไปแบบคร่าวๆ แล้ว ให้เพื่อนได้ลองศึกษาและเรียนรู้ทำความเข้าใจกับนิสัยของตนเองว่าเหมาะสมที่จะเป็นนักลงทุนประเภทไหน พร้อมทั้งหาแนวทางของตัวเองให้เจอ สิ่งสำคัญหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้นต่างพากันเจ๊งขาดทุนกันไปตามๆ กัน คือ ขาดวินัย คำว่าวินัยนี้สำคัญเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ ต้องพยายามทำความเข้าใจและยึดปฏิบัติให้ได้ หลายคนเข้าซื้อหุ้นโดยจะเก็งกำไรหุ้นตัวนี้ พอเอาเข้าใจหุ้นร่วงขาดทุนไม่เป็นท่า แล้วปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ขึ้น จะลงทุนระยะยาวบ้าง บอกว่าตัวเองเป็นแนว VI บ้าง หรือเข้าซื้อหุ้นตามกระแสเป็นแมลงเม่า บอกว่าหุ้นตัวนี้ต้องดี ต้องขึ้นอีกเยอะ โดยไม่ดูพื้นฐานเลย ไม่ก็เห็นกำไรงดงามยังคงดื้อถือไว้ ทั้งๆ ที่ตลาดมันส่งสัญญาณลง หุ้นก็ลงตามขาดทุนกันไปอีก หรือกำไรหล่นหายไป เหล่านี้แหละครับ ขาดวินัย ต้องค้นพบแนวทางของตัวเอง และตั้งมั่นแน่วแน่กับแนวทางนั้น ห้ามเปลี่ยนแนวทางกลางคันโดยเด็ดขาด หากขาดวินัยก็จะนำมาซึ่งคำว่า เจ๊ง กับ เจ๊ง เท่านั้นครับ!!

07 พฤษภาคม 2554

เปิดบัญชีกับบมจ.บัวหลวง


          สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ตลาดหุ้นไทยพักฐานลงแรงเหมือนกัน เมื่อวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. 2554 ตลาดปิดที่ 1,050.85 จุด ปรับตัวลดลง 23.02 จุด ด้วยต่างชาติขายสุทธิที่ 3,000 กว่าล้านบาท เรียกว่ายังคงขายสุทธิต่อเนื่องมาทั้งสัปดาห์ ผมอยากจะให้เพื่อนๆ ศึกษาเหตุการณ์ให้ดีๆ ผมนำกราฟรายวันของดัชนี SET มาให้ดู ผมจะยังไม่ลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับเชิงเทคนิคมากนัก แต่จะอธิบายว่า SET จะลงต่อไปอีกแค่ไหน ให้สังเกตว่าตอนนี้ดัชนีเลยเส้นสีเหลืองซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่ 40 วันแล้ว หากยังไม่มีสัญญาณดีดขึ้น มันก็ต้องเลยไปทดสอบที่เส้นสีฟ้าหรือค่าเฉลี่ย 75 วัน เป็นการดูหยาบๆ แต่นักวิเคราะห์ได้ให้เส้น Trend line ไว้ที่เส้นสีขาว เพื่อนๆ จะเห็นว่าตอนนี้มันถึง Trend line นั้นแล้ว ในวันจันทร์หน้าที่ตลาดหุ้นจะเปิด หากดัชนีเลยที่เส้นนี้ มันก็จะลงแรงต่อไป แต่หากไม่ลงและมีสัญญาณขึ้น มันจะดีดกลับขึ้นมาแรงเช่นกัน อยากให้เข้าใจและศึกษาเก็บเกี่ยวข้อมูลเหล่านี้และหัดดูวิเคราะห์บ่อยๆ เพื่อนๆ จะไม่หลงตามกระแส เห็นตลาดตกแรงก็อยากจะขายออกให้เร็วกลัวขาดทุน แต่ในทางตรงข้ามคนที่เขามองตลาดออก วิเคราะห์เป็นเขาจะทำตรงกันข้ามครับ การดูสิ่งเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ มองตลาดออกว่ามันจะไปในทิศทางไหน หมั่นศึกษาไว้ มันก็มีลักษณะอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ วนไปมาอย่างนี้ เพราะประวัติศาตร์มันซ้ำรอยเสมอ
          ในบทความที่แล้วนั้นผมได้กล่าวถึงโบรกเกอร์ หรือนายหน้าค้าหุ้น ให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจถึงงหน้าที่คร่าวๆ ของโบรกเกอร์ ซึ่งรายละเอียดยังมีอีกมาก ให้เพื่อนๆ ลองอ่านในหนังสือที่ผมแนะนำไปได้นะครับ หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม ในบทความนี้ผมจะแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังจะเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ถึงวิธีการขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ผมขอยกตัวอย่างการเปิดบัญชีซื้อขายหลักย์กับบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง นะครับ ส่วนหากเพื่อนๆ อยากจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์อื่นๆ ก็สามารถทำได้เพราะมีลักษณะการขอเปิดบัญชีแบบเดียวกันนี่เอง หากเพื่อนๆ ต้องการเปิดบัญชี Cash Balance โดยทำการซื้อขายหุ้นผ่านระบบอินเตอร์เน็ตด้วยตัวเอง ที่ผมได้แนะนำไปในบทความที่แล้ว โดยบัญชีประเภทนี้จะเป็นบัญชีประเภทที่เหมาะสำหรับคนที่ยังใช้เงินลงทุนน้อย และสามารถควบคุมการใช้เงินลงทุนของเราได้ดี เพราะว่าบัญชีนี้ก็เสมือนบัญชีธนาคารง่ายๆ ที่เพื่อนๆ สามารถทำการโอนเงินเข้าออกได้ปกติ จะซื้อหุ้นก็ต้องใช้เงินที่มีอยู่ในบัญชีแล้วเท่านั้น นั่นเอง ผมจะขออธิบายขั้นตอนการขอเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นข้อๆ นะครับ ว่าแล้วก็ลุย
  1. ขั้นตอนแรกต่อไปทำการกรอกคำขอที่เว็บไซต์ก่อน เข้าสู่เว็บไซต์บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง http://www.bualuang.co.th/th/index.php และให้เลือกเมนูเปิดบัญชี หรือ Account Opening
  2. จะเข้าสู่หน้าเว็บที่ให้ทำการกรอกรายละเอียด แบบคำขอเปิดบัญชี เพื่อนๆ ก็กรอกรายละเอียดไปให้ครบถ้วน และกด Submit
  3. จากนั้นเพื่อนๆ ก็รอครับ ทางเจ้าหน้าที่เขาจะส่งเอกสารคำขอเปิดบัญชีมาให้ทางเมล์ เป็นไฟล์ PDF หรือไฟล์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะใช้เวลาประมาน 1-2 วันทำการในการส่งเอกสารมาให้ทางอีเมล์นะครับ
  4. เพื่อนๆ ก็นำเอกสารนั้นปริ้นออกมา และทำการกรอกรายละเอียดข้อมูลให้ครบถ้วน หากไม่แน่ใจรายละเอียดส่วนไหนให้แนะนำโทรถามเลยนะครับ อย่าอาย ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลายเซ็นต์ ของเพื่อนๆ ที่จะต้องเซ็นต์ทุกๆ ที่ที่เขาไฮไลต์ให้นะครับ ก่อนจะส่งเอกสารกลับไป
  5. เมื่อเพื่อนๆ ทำการกรอกและเซ็นต์เอกสารครบถ้วนแล้ว ต้องมาเตรียมเอกสารประกอบการเปิดบัญชีต่อ โดยที่บมจ.บัวหลวงนี้ มีเอกสารขอเปิดบัญชีดังนี้ 1.สำเนาบัตรประชาชน  2.สำเนาทะเบียนบ้าน หน้าที่มีชื่อเรา  3.สำเนาสมุดบัญชีธนาคารหน้าแรกที่จะใช้ในการเปิดบัญชี  อย่างละ 2 ชุดนะครับ โดยที่ทุกๆ เอกสารจะต้องเซ็นต์สรับรองำเนาถูกต้องด้วย
  6. เมื่อเอกสารครบแล้วก็ไปที่ไปรษณีย์ครับ ส่งเอกสารไปที่ ฝ่าย Internet Team  ชั้น 31 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ 191 ถ.สีลม บางรัก กทม. 10500
  7. สิ่งสำคัญสุดท้าย หยอดเงินลงไปในซองจดหมาย 30 บาทนะครับ หรือเป็นอากรสแตมป์ก็ได้
  8. เรียบร้อยแล้วก็ปิดผนึก ส่งเอกสารโลด
          เรียบร้อยแล้วครับ ขั้นตอนการขอเปิดบัญชีกับ บมจ.บัวหลวง จากนี้เมื่อเอกสารถึงมือผู้รับผิดชอบแล้ว เขาจะโทรติดต่อกลับมาหาเพื่อนๆ อีกที โดยอาจจะถามข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้การขอเปิดบัญชีนั้นเสร็จสมบูรณ์ และเขาก็จะเปิดบัญชีให้กับเราครับ

03 พฤษภาคม 2554

โบรกเกอร์นายหน้าค้าหุ้น

          สวัสดีครับ แว่วมาว่าตลาดหุ้นปิดทำการเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เม.ย. 2554 ดัชนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.25 จุด ปิดบวกที่ 1,093.56 จุด โดยรวมแล้วดัชนีก็ยังทรงตัว มีระดับการผันผวน อยู่ในช่วงพักฐาน ซึ่งยังไม่ลงมาเลยแนวรับสำคัญที่ประมาณ 1,085 จุด หุ้นใหญ่เงียบ แต่หุ้นเล็กรุ่ง!! ในสัปดาห์คงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการยุบสภาว่าจะส่งผลอย่างไรกับตลาดบ้าง ต้องดูกันต่อไปครับ
การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นนั้น ไม่เหมือนเดินเข้าไปในตลาดสดหยิบเงินให้แล้วเอาของมานะครับ การซื้อขายหุ้นนั้นจะต้องกระทำการผ่านนายหน้าค้าหุ้นที่เค้าเรียกกันว่า "โบรกเกอร์" โบรกเกอร์เหล่านี้จะเป็นบริษัทที่มีหน้าที่เป็นตัวแทนค้าหุ้นให้กับลูกค้าหรือนักลงทุนนั่นเอง ทุกๆ ครั้งที่เพื่อนๆ จะทำการซื้อหรือขายหุ้นตัวใดจำนวนเท่าใด จะต้องละเอียดลึกๆ ว่าโบรกเกอร์คืออะไร มีที่มาอย่างไรทำผ่านโบรกเกอร์ทั้งนั้นซึ่งแน่นอนครับโบรกเกอร์เหล่านี้ก็จะได้เงินจากค่าคอมมิชชั่นที่เกิดขึ้นในการกระทำการซื้อหรือขายของเพื่อนๆ ในแต่ละครั้งนั่นเอง รายให้เพื่อนๆ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมเองนะครับ ผมจะไม่พูดถึงลงลึกมาก เอาคร่าวๆ ให้เข้าใจว่าเขาเป็นใครพอในขั้นนี้ ดังนั้นก่อนเพื่อนๆ จะทำการลงทุนในตลาดหุ้น จึงต้องเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับโบรกเกอร์ก่อนนั่นเอง ไม่งั้นเพื่อนๆ ก็จะซื้อขายหุ้นไม่ได้ครับ บัญชีหลักทรัพย์เปรียบเสมือนบัญชีธนาคารที่เราสามารถนำเงินฝากถอนได้และนำเงินที่เราฝากไว้ในบัญชีนั่นแหละไปซื้อหุ้น
          สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น นั่นคือ การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีและเหมาะสมกับสไตล์ของตัวเองครับ แต่ในเมือ Blog นี้เป็น Blog สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ และยังเยาว์วัย ทุนน้อยทั้งหลาย ผมก็จะแนะนำการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับสไตล์ของเราๆ ให้แล้วกัน เนื่องจากโบรกเกอร์นั้นเขาหารายได้จากค่าคอมมิชชั่นที่เราจะต้องเสียให้ในการซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่จะมีการแข่งขันกันระหว่างโบรกเกอร์เองทั้งในเรื่องค่าคอมมิชชั่นและบริการต่างๆ ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุนอย่างเราๆ ครับ หลักในการเลือกโบรกเกอร์ให้เหมาะสมกับเราที่สำคัญๆ คือบริการข่าวสารในการลงทุน บทวิเคราะห์ต่างๆ ลองเข้าไปดูที่หน้าเว็บของเขาว่ามีประสิทธิภาพและน่าใช้เพียงใดเป็นต้นนะครับ ดูเจ้าหน้าที่ หรือโบรกของเขาว่าทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด สามารถบริการเราได้ถูกใจหรือไม่ ประมานนี้ แต่สำหรับเหล่านักลงทุนเยาว์วัย ทุนน้อยทั้งหลาย สิ่งที่ผมอยากให้ดูและสำคัญที่สุดคือ ค่าคอมมิชชั่น ต่างหากครับ
          ค่าคอมมิชชั่น เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนๆ เคาะคำสั่งซื้อ หรือขาย และกระทำสำเร็จ นั่นคือเพื่อนๆ จะเสียค่าคอมมิชชั่นให้โบรกเกอร์ของเพื่อนๆ นั่นเอง โดยค่าคอมมิชชั่นนี้คิดเป็นเปอร์เซ็นจากเงินที่เพื่อนๆ ใช้ในการซื้อหรือขายในครั้งนั้นนั่นเอง ซึ่งอยู่ที่ 0.25% สำหรับการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ (ห้องค้าหรือโทร.) หรือ 0.15% สำหรับซื้อขายเองผ่านอินเตอร์เน็ต (โดย streaming pro เป็นต้น) ดังนั้นไม่ต้องถามครับว่าเราจะเลือก rate ราคาไหน 0.15% โดยซื้อขายเองผ่านอินเตอร์เน็ตนั่นเอง 55+ นั่นหมายความว่าเพื่อนๆ จะไม่ได้รับคำแนะนำโดยตรงผ่านโทร.จากโบรกเกอร์ในการซื้อขาย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าคอมมิชชั่นที่สูงถึง 0.25% มันสูงเกินไปสำหรับเราน่ะ 0.15% ถือว่าโอเคครับ ซึ่งมันก็ rate นี้ทุกๆ โบรกเกอร์นะ ลองเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ อัตราค่า Commission ของแต่ละโบรกเกอร์
          สุดท้ายเลยคือ เวลาเพื่อนๆ เลือกดูค่าคอมมิชชั่นของแต่ละโบรกเกอร์เค้าแล้ว อย่าลืมดูหมายเหตุด้วยนะครับ เพื่อนๆ จะเจอคำว่า "ขั้นต่ำ 50 บาท" นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่ผมต้องการ หมายความว่าอย่างไร ?? มันมีความหมายว่าหากคิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0.15% นะครับ สมมติเพื่อนๆ ซื้อหุ้น A ไปเป็นเงินทั้งหมด 5,000 บาท และในวันนั้นเพื่อนๆ ไม่ได้กระทำการซื้อหรือขายใดๆ อีกเลย หรือมีแค่คำสั่งซื้ออันนั้นอันเดียว เพื่อนๆ จะเสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายวันนี้เป็นเงินประมาณ 8.5 บาท คือ (5000x0.15)/100 + VAT 7% -->> ใช่หรือไม่?? ,, ไม่ใช่ครับ เพื่อนๆ จะต้องเสียค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน 50 บาทเต็มๆ!! นั่นเพราะเขาคิดขั้นต่ำต่อวันที่ 50 บาท หมายความว่าหากค่าคอมมิชชั่นที่เสียจริงในวันนั้นไม่เกิน 50 บาทแล้วละก็ เพื่อนๆ จะต้องเสียเท่ากับ 50 บาททันที ประมาณนั้น หนาวเลยครับ มีทุน 5,000 เสียวันละ 50 ลองคิดเล่นๆ ว่าตูจาทำกำไรวันละ 2% = 100 บาท เราก็ต้องเสียค่าคอมไปแล้วครึ่งนึงครับ ชีวิต!! ดังนั้นเพื่อนๆ จึงควรตั้งใจเลือกโบรกเกอร์ดีๆ ที่เขาไม่คิดค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำต่อวันนั่นเอง มันมีๆ 55+ ผมจะยกตัวอย่างโบรกเกอร์ที่ไม่คิดค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำต่อวัน อย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ หรือ ยูโอบีเคย์เฮียน ถ้าให้ผมแนะนำ ผมเลือกเปิดบัญชีที่บัวหลวงนะครับ เว็บไซต์ดี ข้อมูลดี ขั้นต่ำไม่มี เปิดบัญชีง่าย และมีบริการหรือเครื่องมือเยอะ
          เลือกโบรกเกอร์ที่ดี ก็มีชัยเกินไปกว่าครึ่ง นอกจากจะดูบริการและข้อมูลที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับคนทุนน้อยก็คือดูค่าคอมมิชชั่นด้วยครับ เพราะหากไม่ดูตาม้าตาเรือ แทนที่จะได้กำไรที่งดงาม ระวังจะถูกละลายไปกับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่รู้ตัว แล้วจะหาว่าผมไม่เตือนนนน !!

27 เมษายน 2554

ก่อนจะเล่นหุ้น

          สวัสดีครับเช้าวันที่ 27 เม.ย. 2554 เมื่อวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 8 จุด ปิดที่ 1,096.95 เปลี่ยนแปลง 0.77% มูลค้าการซื้อขายกว่า 28,000 ล้านบาท เรียกว่าแดงทั้งกระดาน หุ้นใหญ่ๆ ดิ่งเกือบหมด ส่วนใหญ่จึงไปตกเล่นกันที่หุ้นเล็กๆ ครับ ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างจะผันผวนและมีความไม่แน่นอนมากๆ เพราะนักลงทุนมีหุ้นถืออยู่ในมือจำนวนมากและจะขายทำกำไรออกมาเมื่อไรก็ไม่ทราบได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องมีวินัยมากๆ ครับในช่วงนี้ นี่แหละครับ เราจะต้องติดตามข่าวสารและตลาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะตามตลาดทัน ข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างมาก
          วันนี้ผมจึงถือโอกาสนี้ แนะนำเพื่อนๆ ที่สนใจและเริ่มอยากจะศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นขึ้นมา ก่อนอื่นเลยคือเพื่อนๆ ต้องปูพื้นฐานของตัวเองก่อน เริ่มจากหาหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุน เกี่ยวกับหุ้นต่างๆ มาอ่านเสียก่อน โดยให้เริ่มจากหนังสือที่มีเนื้อหาง่ายๆ เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ หนังสือที่ผมจะแนะนำคือ "เล่นหุ้นออนไลน์ ไม่ยาก" เขียนโดยคุณวีรวัฒน์ วีรวรรณ" หนังสือเล่มนี้จะเปิดโลกแห่งการลงทุนให้กับเพื่อนๆ ที่ไม่เคยคุ้นเคยกับคำว่าหุ้นเลย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เพื่อนๆ รู้จักกับตลาดหุ้น พื้นฐานๆ ทั่วๆไป และที่สำคัญเลยคือเขาเล่นหุ้นกันอย่างไรในปัจจุบัน มีช่องทางไหนบ้างเป็นต้น หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมแนะนำคือ "คัมภีร์หุ้น โดย โสภณ ด่านศิริกุล" เล่มนี้จะอธิบายการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อย่างละเอียดกว่าเล่มแรกนะครับ เล่มแรกจะเป็นการ์ตูนๆ เยอะไป เหอะๆ คัมภีร์หุ้นนี้เพื่อนๆ จะได้เข้าใจการลงทุนในหุ้นอย่างชัดเจนขึ้น ละเอียดดี รวมถึงเทคนิคการเล่นหุ้น การดูพื้นฐาน เทคนิคการลงทุน และต่างๆ อีกมากมายที่จะเป็นการปูทางให้กับนักลงทุนมือใหม่นะครับ คัมภีร์หุ้น นั้นมีสองเล่มนะครับ เล่มสองก็อัดความรู้ที่เป็นขั้น advance ขึ้นนั่นเอง เท่านี้แหละครับ หนังสือสองเล่มนี้ที่ผมแนะนำ เพียงสองสามเล่มนี้ก็จะทำให้พื้นฐานความรู้ของเพื่อนๆ ในตลาดทุน และการเล่นหุ้นนั้นแน่นจน "เกือบ" สามารถที่จะไปลงทุนจริงๆ ได้แล้ว ความจริงมีหนังสือดีๆ อีกหลายเล่มนะครับ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึง ก็ให้เพื่อนๆ ลองเลือกกันดูแล้วแต่สไตล์การอ่านของตนเองดีกว่าครับ ที่ผมแนะนำนี้เป็นหนังสือที่ผมเคยอ่านแล้วรู้สึกว่ามันเหมาะกับผม เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มลงทุน



          แต่เท่านั้นยังไม่พอหรอกครับ หากแค่อ่านหนังสือจบสองสามเล่ม ไปลงทุนแล้วจะได้กำไร ป่านนี้คงรวยกันทั่วบ้านทั่วเมือง อิอิ มันก็เหมือนกันกับการสอบ เพื่อนๆ อ่านแต่หนังสือกันเข้าไป ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เข้าไปทำข้อสอบ ก็ทำไม่ได้หมดหรอกครับ หากเพื่อนๆ ไม่เคยทำข้อสอบเก่าๆ ย้อนหลังไปบ้างใช่หรือไม่? การเล่นหุ้นก็เหมือนกันอาศัยแค่หนังสืออัดความรู้เต็มเปี่ยมไปลงทุน ไม่กำไรก็ขาดทุน ใช่ครับมีอยู่สองอย่าง แต่ผมฟันธงว่า ขาดทุนมากกว่า 55+ การลงทุนในหุ้นนั้น เพื่อนยังต้องอาศัย "ประสบการณ์" ด้วยครับ เน้นย้ำจริงๆ การอ่านทำให้เพื่อนๆ มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่ประสบการณ์คือของจริง ที่จะต้องใช้จริงในการลงทุน หรือเทรด(ซื้อ-ขาย) หุ้น เรื่องประสบการณ์ในการลงทุนนี้ พูดกันอีกยาวครับ แต่ผมจะแนะนำบางอย่างให้กับเพื่อนๆ
          ประสบการณ์นั้นมันสร้างความเคยชินครับ ความเคยชินจะช่วยให้เราเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ และมองเหตุการณ์ต่างๆ เป็นไปอย่างเข้าใจนั่นเอง ทำไมผมใช้คำว่าความเคยชิน ใช่แล้วครับ ผมจะแนะนำให้เพื่อนๆ สร้างความเคยชินกับตลาดหุ้น และการลงทุนนั่นเองเริ่มด้วยการค่อยๆ เริ่มติดตามตลาดหุ้นทุกๆ วัน ทำความเข้าใจกับกระดานหุ้นและตัวเลขต่างๆ การอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่ช่วยอะไรนะครับ แนะนำให้ลองเล่นจริงๆ อาจจะจากกระดานจำลองอย่างในเว็บพวก pantip.com หรือ settrade.com ก็ได้นะครับ แต่กระดานจำลองบนเว็บพวกนี้นั้นจะไม่ใช่เป็นแบบจริง หรือซื้อขายอิงจากกระดานจริง แต่จะเป็นกระดานจำลองที่การซื้อขายทำได้เองโดยตรง จะซื้อจะขายก็ทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีความต้องการขายหรือความต้องการซื้อจากกระดานจริงนั่นเอง มันเลยอาจจะทำให้พลาดการเรียนรู้การเทรดของจริงไปบ้าง แต่ก็ใช้ได้ในเบื้องต้นครับ หากต้องการของจริงแต่เงินปลอมต้องลองเล่นกับ Click2Win ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดกันได้นะครับ ที่ Click2Win นี้จะให้เพื่อนๆ ได้ใช้โปรแกรม Streaming Pro ซึ่งเป็นโปรแกรมจริงที่เขาใช้ในการซื้อขายหุ้นจริงๆ ออนไลน์ และ Click2Win จะให้เล่นในสถานการณ์จริง แต่ใช้เงินจำลอง การลองเล่นแบบนี้ จะช่วยให้เพื่อนๆ ได้ประสบการณ์จากการเทรดจริงๆ แต่จะมีการแข่งขันเป็นรอบๆ ไม่ได้เปิดให้เล่นฟรีตลอดชาตินะครับ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เพื่อนๆ คุ้นเคยกับกระดานหุ้น และตัวเลขต่างๆ รวมทั้งได้ประสบการณ์จริงในการเทรดหุ้น รับรู้และมองเห็นความเป็นไปของตลาดและหุ้นในแต่ละตัวเมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ โดยที่ยังไม่ต้องใช้เงินตัวเองจริงๆ



          ข่าวสาร เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อีกสิ่งหนึ่งที่จะมีปัจจัยในการลงทุนในตลาดหุ้น ของนักลงทุน ข่าวสารนั้นมีผลต่อหุ้นโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ รวมถึงข่าวสารต่างๆ ของแต่ละบริษัทและหุ้นรายตัว เพื่อนๆ ก็สามารถรับรู้ข่าวสารได้จากหลายช่องทางครับ ทีวี หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ซึ่งเพื่อนๆ ควรจะทำให้เป็นความเคยชินในการรับข่าวสารเหล่านี้ อย่างเช่นการเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ในทุกๆ เช้าเพื่อติดตามข่าวสารในแต่ละวัน เป็นต้น หนังสือพิมพ์ที่ผมแนะนำและเหมาะสำหรับนักลงทุน เช่น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือฐานเศรษฐกิจ และหนังสือพิมพ์ที่เจาะเรื่องหุ้นโดยเฉพาะ เช่น หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น และ หนังสือพิมพ์ทันหุ้น ก็ลองเลือกอ่านดูแล้วกันนะครับ แล้วแต่ว่าแต่ละคนชอบสไตล์ของหนังสือพิมพ์ไหน หรือจะอ่านทั้งหมดเลยก็ได้ ได้ความรู้แบบครบถ้วนดี 55+ ส่วนช่องทางทางอินเตอร์เน็ต ก็มีสังคมนักลงทุนต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ห้องสินธรของพันธ์ทิพย์ เว็บบอร์ดต่างๆ หรือในสังคม Social Network อย่าง Facebook ก็มี Page ของกลุ่มนักลงทุนอย่างเช่น Settrade Club หรือ Pawanit Stock Comment แต่ข่าวสารเหล่านี้นั้น ก็มีทั้งข่าวดีและข่าวลวง ดังนั้นเพื่อนๆ ต้องวิเคราะห์ให้ดีหลังจากได้รับรู้ข่าวสารต่างๆ แล้ว ฟังหูไว้หูบ้าง รับรู้มาไว้เป็นความรู้และข่าวสารประจำวัน และดูทิศทางทั่วไป เป็นต้น ซึ่งบางข่าวก็อาจจะทำให้ราคาหุ้นพุ่งพรวด แต่มันก็อาจจะโดนสับขาหลอกก็ได้ ประมาณนั้น
          หวังว่าจะเป็นแนวทางปูพื้นฐานให้กับเพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ เพื่อจะทำให้เพื่อนๆ ได้เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างเต็มตัว โดยปราศจากความกลัวใดๆ ผ่านความรู้และประสบการณ์อันเต็มเปี่ยม ก่อนจะเป็นนักลงทุนมือใหม่นะครับ
          ดังคำกล่าวที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" ก็ไม่ปาน

22 เมษายน 2554

หุ้น กับ หวย

 "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" หลายคนคงเคยได้ยินสำนวนนี้มาบ้าง คนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยใจร้อน อยากรวยทางลัด อยากได้เงินเยอะๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมากมาย พูดง่ายๆ ว่าขี้เกียจนั่นเอง ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นหลายๆ คน หวังพึ่ง หวย เป็นบันไดแห่งความรวย ซึ่งการซื้อหวยแต่ละครั้งก็ไม่ใช่ถูกๆ มีตั้งแต่หลักร้อยบาท จนเป็นพันๆ บางคนเล่นเป็นหมื่นก็มี ผมไม่ได้ต่อต้านและไม่เถียงเลยว่า หวย พาคนรวยเป็นเศรษฐีเพียงข้ามคืนมากี่รายแล้ว แต่ผมเป็นคนหนึ่งแหละที่ไม่เล่นหวย เพราะไม่มีความเชื่อที่ว่า การพนันทำให้คนรวย ลองคิดเล่นๆ นะครับ สมมติให้เล่นง่ายสุดแล้ว 2 ตัวล่าง หรือบนก็ได้ นั่นคือคุณต้องเสาะหาเลขมา 2 ตัวเอาโดนๆ นะ นั่นหมายความว่าความน่าจะเป็นที่หวยมันจะออกเลข 2 ตัวที่คุณเลือกมานี้เป๊ะ คือ 1/100 หรือ 0.01% หมายความว่าโอกาสที่คุณจะถูกหวยจากเลข 2 ตัวชุดนี้ชุดเดียวคือ 1 ใน 100 (ซื้อ 100 ครั้ง ถูก 1 ครั้งนั่นแหละ) ไม่ต้องพูดถึง 3 ตัว หรือรางวัลที่ 1 ไปกันใหญ่ครับ โอกาสน้อยมากๆ แต่ก็นะของเหล่านี้ อยู่ที่โชคอย่างเดียว จริงๆ แต่ผมจะยกตัวอย่างการซื้อหุ้น คุณซื้อหุ้น 1 ตัว หุ้นมันง่ายๆ ครับ ง่ายกว่าหวยอีก ไม่ขึ้นก็ลง หรือโอกาส 50-50 นั่นเอง คิดเป็นความน่าจะเป็น 1/2 หรือ ซื้อ 2 ครั้ง กำไร 1 ครั้ง 55+ โอกาสมากกว่ากันเป็นไหนๆ!!!
          แต่ช้าก่อน!! ที่ผมเปรียบเทียบให้ดูนั่น ขำๆ นะครับเพื่อนๆ ไม่ได้ให้เอาไปคิดเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด แต่มันก็ทำให้มองเห็นภาพคร่าวๆ ได้ว่า หวย กับ หุ้น มันต่างกันนะ บางคนบอกเล่นหุ้นมันก็เสี่ยงพอๆ กันนั่นแหละ ผมบอกเลยว่า ไม่จริง ครับ ถ้าหากคุณศึกษาและใส่ใจในการลงทุนอย่างจริงจังและถ่องแท้ มองเห็นภาพอย่างชัดเจน การจะทำอะไรซักอย่าง หากเราศึกษาอย่างดี และมีความตั้งใจจริงแล้ว มันย่อมสำเร็จผลที่ดีอย่างแน่นอน ที่ผมจะบอกเป็นนัยๆ คือ อยากจะอธิบายความหมายของสำนวณ "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" ว่าที่จริงแล้วที่เขากล่าวเช่นนี้เพราะว่า หวยมันไม่ได้ทำให้คนรวย หรือการพนันมันไม่ได้ทำให้คนรวยนั่นเอง เปรียบกับคนที่เล่นหวย ก็รู้ว่ามันมีโอกาสถูกน้อยมาก แต่ก็พยายามจะซื้อมันทุกเดือนถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เวลาถูกก็บอกว่าเลขเด็ดจริง เพราะโดนกินก็ว่าโชคไม่ดี พลาดไปนิดเดวเอ๊งง!! แล้วก็ซื้อมันอย่างนั้นแหละ ทั้งที่ความจริงหากเอาเงินที่ไปซื้อหวยมาคิดจริงๆ แล้ว เงินที่โดนกินไปน่ะ มากกว่าเงินที่ได้เมื่อถูกหวยอีกครับ ผมล่ะเสียดายแทนจริงๆ จากนั้นลองมาดูคำที่ว่าคนรวยเล่นหุ้นบ้าง มันหมายถึงคนจะรวยต้องหมั่นศึกษา ทำงาน และตั้งใจจริงในสิ่งที่ทำ ไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ พึ่งโชคลาภหรือรวยทางลัด เปรียบเสมือนกับการเล่นหุ้นหรือการทำงานใดๆ คนที่เล่นหุ้นแล้วเขารวยจริงๆ นั้น เขาไม่ใช่แค่มานั่งนึกว่าวันนี้จะซื้อหุ้นตัวไหน ซื้อ แล้วมานั่งลุ้นว่ามันจะขึ้นหรือจะลงหน๊ออ ไม่ใช่แบบนั้นครับ เขาเหล่านี้ต้องศึกษาอย่างจริงจังหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ภาพรวมตลาด การบ้านการเมือง พื้นฐานบริษัทต่างๆ ตลอดจนสัญญาณเทคนิคของหุ้น และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนที่เขาจะนำเงินไปลงทุนจริงๆ นี่แหละครับความแตกต่างของ คนจน กับ คนรวย
          ตลาดหุ้นของไทยเราดัชนีมันจะขึ้นหรือลงนั้น มีอิทธิพลจากไม่กี่สิ่งครับ และที่สำคัญก็คือการลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั่นเอง จะเห็นในหลายๆ ครั้งว่าหากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นเราวันใดมากๆ ก็จะมีผลให้ดัชนีนั้นขึ้นหรือลงได้ เพราะอะไรหรอครับ ก็เพราะผู้ถือหุ้นในหุ้นต่างๆ ในปริมาณสูงๆ ในบ้านเราส่วนใหญ่ก็คือนักลงทุนต่างชาตินั่นเอง (ผมไม่ได้เหมารวมหุ้นทุกตัวนะครับ) แต่กลับกันที่หากวันใดที่มีนักลงทุนในประเทศนั้นซื้อขายกันเองที่ไม่รวมนักลงทุนต่างชาตินะครับ ดัชนีมันจะไม่ค่อยขยับซักเท่าไร ก็เพราะปริมาณผู้ลงทุนในประเทศเรานั้นมันน้อยมากๆ เขามีการสำรวจออกมาแล้วว่าคนไทยที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นจริงๆ ในบ้านเรานั้นมีเพียงประมาณ 1-2 แสนบัญชี แล้วหักผู้ที่มีบัญชีของตัวเองเกินกว่า 1 บัญชีอีก โอ่จะเหลือเท่าไร เทียบกับประชากรทั้งประเทศกว่า 60 ล้านคนแล้ว มันน้อยมากๆ ครับ ผมจึงอยากเห็นคนไทยหันมาให้สนใจกับการลงทุนในหุ้นหรืออื่นๆ ในประเทศตัวเองมากขึ้น นอกจากจะช่วยให้บริษัทต่างๆ นั้นมีเงินทุนมากมายหลั่งไหลเข้ามาแล้ว ยังช่วยพัฒนาให้คนในประเทศมีความรู้และมีฐานะที่ดีขึ้นด้วยครับ
          แต่ผมเน้นย้ำว่าการจะลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อนๆ ต้องเข้าใจและศึกษามันอย่างจริงจัง หมั่นศึกษาหาความรู้ต่างๆ จากหนังสือ หนังสือพิมพ์ ข่าวสาร และอื่นๆ อีกมาก (ซึ่งผมจะแนะนำในบทความครั้งต่อไป) ที่จะทำให้ตัวเองนั้นมั่นใจในการลงทุนอย่างแท้จริง ไม่ใช่จะเข้ามาพรวดๆ พราดๆ เห็นตลาดหุ้นเขาบูมกัน ดัชนีขึ้นเอาๆ เศรษฐกิจดีเยี่ยม บริษัทต่างๆ มีผลประกอบการที่ดี ก็เลยตามเขาเข้ามา แล้วก็มาลงทุนอย่างไร้ประสบการณ์และความรู้ แบบนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊งครับ
"นั่นคือหากคุณเล่นหุ้นอย่างไม่มีความรู้แล้ว ก็เหมือนกับการเล่นหวยดีๆ นี่เอง"

19 เมษายน 2554

ความกลัวในหุ้น

        
          "ผมจะเล่นหุ้นครับ" เพื่อนวัย Gen Y Z ทั้งหลาย หากคุณเป็นคนที่มีฐานะธรรมดา พอกินพอใช้ พ่อแม่เป็นข้าราชการ หรือพ่อค้าแม่ค้า ทำงานบริษัท ครับ ลองไปบอกพ่อกับแม่เพื่อนๆ แบบนี้ ก็จะได้คำตอบกลับมาว่า
"มันเสี่ยงนะลูก"
"เจ๊งกันมากี่รายแล้ว"
"เพื่อนพ่อ เพื่อนแม่ ล้มละลายมาแล้ว"
บราๆๆ ทำนองนี้
          นี่คือคำตอบที่เพื่อนๆ จะได้รับจากพ่อกับแม่คนทำงานกินเงินเดือนทั้งหลาย เพราะทุกคนที่ผ่านประสบการณ์หรือเหตุการณ์วิกฤติของเศรษฐกิจประเทศไทย อย่างเช่น วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 มาแล้ว จะเข้าใจและฝังจิตฝังใจภาพเหตุการณ์ในอดีตเป็นอย่างดี คนรวยล้มละลาย คนจนเป็นหนี้ คนเครียดกระโดดตึกฆ่าตัวตาย นั่นแหละครับ ภาพเมื่ออดีตเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่คนที่เคยผ่านประสบการณ์ในครั้งนั้นมาจะกลัว ที่จะนำเงินของตัวเองที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตไปจมอยู่ในตลาดหุ้นอีก ฝังใจเสมือนตลาดหุ้นเป็นของแสลงอย่างหนึ่ง นั่นเอง
          แต่หากเรามองกลับอีกมุมหนึ่ง ทำไมทุกวันนี้มันจึงเกิดเจ้าสัว เศรษฐี มากมาย หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง!!???? พวกเขาเหล่านั้นทำอะไรในระหว่างที่ทุกคนอกสั่นขวัญผวาจากเศรษฐกิจที่ล้มไม่เป็นท่า ทำไม่เขาจึงรวย รวย รวยมหาศาลได้ คำตอบคือ เขาทำสวนทางกับทุกคนยังไงล่ะครับ หรือที่เค้าเรียกว่า "นักสวน" คือทำตรงข้ามกับคนอื่น แทนที่จะกระโจนหนีจากตลาดที่ตกต่ำ แต่เขาเหล่านี้กลับกระโดดเข้าไป และบอกว่า นี่แหละ โอกาสทอง!!!
          ผมกำลังจะบอกว่า การจะทำอะไรทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จนั้น เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เราจะทำอย่างท่องแท้และลึกซึ้ง ให้มันมากที่สุด เปรียบเสมือนกับการลงทุนอะไร หากเพื่อนๆ ไม่รุจัก ไม่เข้าใจมัน พอเห็นตลาดวิกฤติมากๆ ก็จะตื่นตระหนก กลัว หลายอย่างๆ ด้วยอารมณ์ที่คิดว่า แย่แล้ว เพราะยังไม่เข้าใจธรรมชาติของตลาดทุนนั่นเอง ต่างกับคนที่เข้าใจ และศึกษามันเป็นอย่างดีก็จะเข้าใจว่าตลาดทุน หรือตลาดหุ้น เศรษฐกิจ ทุกอย่างมันมีวงจร มันมี cycle ของมัน มีขึ้นก็ต้องมีลง เมื่อตลาดมันบูมมากๆ พุ่งมากๆ มันก็จะระเบิด หรือที่เค้าเรียกว่า crash เพราะเมื่อ demand หรือความต้องการซื้อมันมีมากเกินกว่า supply หรือความต้องการขาย มันจะไปต่อได้อย่างไร มันก็ต้อง บูม! crash ลงมา อะไรประมาณนี้ ให้มองเห็นภาพคร่าวๆ และนิแหละที่เป็นจุดแบ่งความแตกต่างของคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจในการลงทุน ผู้ที่เข้าใจเขาก็จะรีบเข้าซื้อในช่วงที่หุ้นมีราคาถูกหลังจากมัน crash และเห็นว่ามีสัญญาณต่างๆ ที่ตลาดมันกำลังจะกลับมา เมื่อเขาซื้อได้ในราคาที่ถูก มันก็ กำไรสุดๆ!! พวกที่ไม่ใช้ของแท้ ก็จะรอๆๆๆ รอจนเห็นว่าตลาด และเศรษฐกิจกลับมาบูมอีกครั้ง ถึงจะเริ่มเข้าไปลงทุน แล้วก็บ่นว่าขาดทุน กำไรน้อย แล้วก็ crash!! อีกแล้ว 55+ คนที่เขาเก็บมาก่อนเขาก็นั่งยิ้ม นอนกอดเงินกันไปตามๆ กัน แล้วก็นั่งดู "เหล่าแมลงเม่า" ที่เจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็น cycle จริงๆ ครับ เหอๆๆ


          ณ เวลานี้ 19 เม.ย. 2554 SET ขึ้นไปแล้วที่ 1090 จุด หลังจากซมซานมานาน หากเรามองย้อนกลับไปที่ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง SET อยู่ที่ประมาน 1700 จุด มันก็บ่งบอกเป็นสัญญาณอยู่แล้วว่า ตลาดหุ้นบ้านเราตอนนี้กำลังตื่นตัว และบูมสุดๆ ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่จะเล่าในบทความนี้คงไม่หมด แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับเริ่มตื่นตัวกับตลาดบ้างหรือยัง หรือจะรอจนมันวิ่งไปเกินกว่า 1700 แล้วค่อยสนใจเข้าลงทุน ถึงตอนนั้นคงสายไปแล้ว แต่ผมจะบอกว่าถ้าเพื่อนๆ เริ่มสนใจตั้งแต่ตอนนี้ "ยังไม่สายครับ" อิอิ ^^

30 มีนาคม 2554

ปลูกจิตสำนึก การลงทุน

     "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรลูก" ประโยคคำถามฮิตติดชาร์ต ที่ผู้ใหญ่จะถามเด็กๆ ในประเทศไทยเราแล้วมันก็มีอยู่ไม่กี่คำตอบหรอกครับ ครู หมอ ทหาร ตำรวจ โตขึ้นมาหน่อยก็อาจจะเป็น วิศวกร นักบัญชี นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ถามว่าทำไมมันมีแค่นี้ คำตอบคือคำว่า "ความมั่นคง" ไงครับ พ่อแม่เกือบจะทุกคนนั่นแหละต้องการจะให้ลูกของตัวเองมีอนาคตมีชีวิตดีๆ เรียนหนังสือให้เก่งๆ จะได้สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ จบไปแล้วก็จะได้เข้าทำงานในที่ดีๆ เงินเดือนดีและมั่นคง สิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝังอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่พ่อแม่ ผู้ใหญ่ก็สอนผมมาแบบนี้ทั้งนั้น ซึ่งผมมองว่าเป็นการปลูกฝังที่ดีมากๆ อย่างหนึ่ง และไม่ผิด แต่ถามว่าดีที่สุดหรือไม่ ถูกต้องที่สุดหรือไม่ ยังครับ
     ถ้าหากเพื่อนๆ หลายๆ คน เคยได้อ่านหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" หรือ "rich dad, poor dad" ของคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ก็จะเข้าใจในความหมายที่ผมบอกว่า "ยังครับ" เป็นอย่างดี หนังสือนี้ดีมากๆ หากเพื่อนๆ คนไหนยังไม่เคยได้อ่าน ผมแนะนำให้อ่านเลยครับ แล้วมุมมองเรื่องการใช้ชีวิตและการเงินของเพื่อนๆ จะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ โรเบิร์ตเค้ามีพ่อที่เป็นอาจารย์ทำงานกินเงินเดือนและสวัสดิการ เปรียบเทียบกับข้าราชการหรือพนักงานบริษัททั่วไปบ้านเรานี่แหละ เงินเก็บจึงไม่ค่อยมีมากนัก ก็เรียกว่าพออยู่ได้ แต่ไม่ใช่รวย กลับกันกับเพื่อนของโรเบิร์ต ที่มีพ่อทำธุรกิจส่วนตัว และเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการสร้างเงินอยู่เสมอๆ จุดสำคัญอยู่ที่พ่อของทั้งสองคนนี้ สอนการใช้เงินและชีวิตแก่ลูกไม่เหมือนกัน พ่อของโรเบิร์ตสอนอย่างที่กล่าวข้างต้น คือความมั่นคง ต้องเรียนจบและมีงานที่มั่นคง แต่พ่อของเพื่อนโรเบิร์ตสอนว่า ความมั่นคงที่แท้จริง คือ "อิสระ" ในที่นี้กล่าวถึง "อิสรภาพทางการเงิน"

     "อิสระภาพทางการเงิน" คืออะไร?? รายละเอียดผมแนะนำให้ซื้อหนังสืออ่านกันได้เลยครับ อิอิ ผมจะบอกอย่างที่ผมเข้าใจและชัดเจนที่สุดนั่นคือ อิสระภาพทางการเงิน เป็นตัวชี้ว่า รายรับของคุณมากกว่ารายจ่าย หรืออีกนัยหนึ่ง คุณรวย! ถึงแม้คุณจะมีหนี้หรือค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายในทุกๆ เดือน แต่คุณก็มีรายรับที่สามารถจะนำมาใช้จ่ายสิ่งเหล่านี้ได้หมด โดยไม่เดือดร้อน! ความจริงยังมีรายละเอียดอีกมากมาย แต่ถ้าจะให้ผมเล่าก็คงต้องเล่ากันจบหนังสือเป็นเล่มๆ
สิ่งสำคัญที่ผมต้องการจะบอกให้เพื่อนๆ ฟังก็คือ จิตสำนึก และ แรงจูงใจ แรงกระตุ้น ที่จะให้เพื่อนๆ ได้เปลี่ยนแนวความคิด เปลี่ยนมุมมองบ้าง มุมมองหรือแนวคิดในการทำงาน ในชีวิต และสำคัญที่สุดในการใช้เงิน อยากจะเปิดโลกแห่งการออม การลงทุน เพื่อ "ความมั่นคง" ที่แท้จริงในชีวิตและอิสระภาพทางการเงิน ไปพร้อมๆ กัน ผมมีเคยถามคำถามกับตัวเองว่า ความสุขของชีวิตนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่เราพอเพียง อยู่ที่เราสบาย มีความเพรียบพร้อมทั้งหน้าที่การงาน มีครอบครัวที่ผาสุข? ถูกแล้วในส่วนหนึ่งครับ แต่ขาดสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ "อิสระ" อิสระของชีวิต ทั้งการเงิน และการงาน วันใดที่ผมนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องคิดทำงาน คิดเรื่องชีวิตข้างหน้า คิดเรื่องปัญหาของโลกที่เดินไป ขอแค่อยู่กับตัวเองและครอบครัวที่มีความสุข วันนั้นแหละครับ คือ ความสุขที่แท้จริงของผม
     วันนี้เป็นวันเปิดโลก เปิดตา เปิดมุมมอง เพื่อนๆ ลองกลับไปคิดดูนะครับ ว่าความสุขที่แท้จริงของเพื่อนๆ ล่ะ ต้องการอะไร และมันคืออะไร หากคิดได้แล้วก็ลองถามตัวเองไปพร้อมๆ กันว่า และเราจะทำอย่างไรล่ะถึงจะได้ความสุขที่ต้องการ หากคำตอบคือ อิสระภาพทางการเงิน และต้องการลงทุนในหุ้น โปรดกลับมาหากัน แล้วเราจะลงทุนไปพร้อมกันครับ

     Warren Buffet มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ชาวอเมริกา ซึ่งเป็นนักลงทุนคนหนึ่ง เค้าเริ่มลงทุนหุ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ตอนนี้เค้าได้เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก อายุปาเข้าไปกว่า 80 แล้ว เค้าเคยบอกไว้ว่า "ผมเริ่มลงทุนช้าไป" บระเจ้าาาาา 11 ขวบเนี่ยนะ

ถามตัวเองว่า ตอนนี้อายุเท่าไร ตอนนี้ผม 21 ครับ ผมคิดจะลงทุนแล้ว

แล้วเพื่อนๆ ล่ะ คิดจะเริ่มหรือยัง??