Today Trades: SYMC, BGH, INTUCH

11 พฤษภาคม 2554

คุณคือนักลงทุนแบบไหน??

          การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จในสิ่งใดๆ นั้น สิ่งที่เป็นคีย์แห่งความสำเร็จนอกจากความมุ่งมั่น มานะ พยายามของตัวเราเองที่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว วิธีการที่ดีนี่แหละที่จะเป็นปัจจัยอีกหนึ่งตัวที่สำคัญในความสำเร็จ ทุกๆ คนต่างมีรูปแบบ แนวทาง หรือวิธิการที่เป็นของตัวเอง ซึ่งผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีการในการทำงานใดๆ ที่แตกต่างกันออกไปแน่นอน เนื่องจากวิธีการที่ดีที่สุดมักจะเป็นวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในขณะที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด นั่นแหละครับประเด็นสำคัญ และในการลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันครับเพื่อนๆ ต้องหาวิธีการ รูปแบบ และแนวทางของตัวเองให้พบ และมุ่งมั่นมีวินัยกับแนวทางนั้นๆ อยู่เสมอ ความสำเร็จมันไม่ไกลเกินเอื้อมเลยครับ ถ้าเพื่อนๆ ทำได้จริง ...ที่เกริ่นมาเนิ่นนาน ผมกำลังจะเล่าเรื่องประเภทของนักลงทุนในตลาดหุ้นให้ฟังนั่นเอง ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีแนวทาง วิธีการ หรือรูปแบบหลักๆ อย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท ฯลฯ เพื่อให้เพื่อนๆ ลองมองดูตัวเองและนำแนวทางนั้นไปใช้กับตัวเองนะครับ
          ประเภทของนักลงทุนในตลาดหุ้นบนโลกนี้ แบ่งง่ายๆ ได้ 2 ประเภทด้วยกัน
          ประเภทที่ 1 นักลงทุนที่เข้ามา "ลงทุน" จริงๆ ต้องเน้นย้ำคำว่า ลงทุน ครับ เพราะนักลงทุนเหล่านี้เข้ามาเพื่อที่จะต้องการนำเงินที่เขามาลงทุนเพื่อต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ หรือบริษัทนั้นๆ เพื่อหวังผลกำไรจากผลประกอบการซึ่งแบ่งไปตามสัดส่วนของหุ้นที่เขาเหล่านั้นถือ เพื่อหวังรับเงินปันผลหัวปีท้ายปี หรือใดๆ ก็ตาม สิ่งที่แตกต่างคือ พวกเขาเหล่านี้ ไม่ค่อยที่จะนำเงินที่เข้ามาลงทุนออกไปมากนัก หรือขายหุ้นออกไปนั่นเอง เรียกว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ได้ ยาวมากๆๆๆๆ น่ะครับ คือถือหุ้นไว้กับตัวนานเป็นหลายปี หรือสิบปีเลยก็ได้ แน่นอนว่าก่อนที่จะนำเงินตัวเองเข้ามาลงทุนในกิจการใดๆ นานขนาดนั้น เขาเหล่านั้นจะต้องศึกษาข้อมูล ศึกษาบริษัท อะไรหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับกิจการที่เขาจะเข้าไปลงทุนเป็นอย่างดี เพื่อทำให้เชื่อได้ว่าเงินที่เขาลงทุนนั้นจะไม่สูญเปล่าไป ในระยะยาว เราจึงเรียกนักลงทุนประเภทนี้ว่า Value Investor หรือ VI ที่ภาษานักลงทุนใช้เรียกกันนั่นเอง นักลงทุนประเภทนี้นั่นก็คือนักลงทุนที่ ลงทุนอย่างมีคุณค่า นั่นเแหละถ้าแปลกันตรงๆ ตัว นักลงทุนแนว VI นี้นั้นเมื่อลงทุนในหุ้นตัวใดๆ แล้ว เขาจะถือยาวไปเลย ถึงขนาดไม่กลับมาดูอีก หากตัวเองแน่ใจแล้วว่าบริษัทหรือกิจการนี้มันจะต้องเติบโต และโตไปอีกนาน พอถึงตอนที่มันโตจนสูงสุดนั่นแหละครับ เขาถึงจะขายทิ้ง และนั่นหมายถึง กำไรมหาศาลลลล ประมาณว่าเกิน 100% ขึ้นไปอีกครับ เพื่อนๆ หลายๆ คนคงจะมักคุ้นเคย หรือเคยได้ยินได้ฟังชื่อ "วาเรนต์ บัฟเฟ่ท์" มาบ้าง นักลงทุนชาวอเมริกันที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดคนนึงของโลก ปู่บุฟเฟ่ เอ้ย บัฟเฟ่ท์ ผู้นี้มีเงินเป็นมหาศาลเพราะเขาแทบไม่เคยขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่เลย และเขาคนนี้นี่แหละครับคือปรมาจารย์ หรือ Idol ของนักลงทุนแนว VI ของโลกเลยก็ว่าได้ แต่การจะเป็นนักลงทุนประเภทนี้ แท้จริงนั้น ทำได้ยากเป็นอย่างยิ่งครับ ลองคิดดูซิครับ เพื่อนๆ จะถือหุ้นตัวใดๆ ได้นานขนาดหลายๆ ปีหรือไม่ พอเห็นได้กำไรซัก 5-10% ก็ถอนออกหมดแล้วจริงไหมครับ นี่แหละเป็นเหตุที่นักลงทุนหลายๆ คนยกบัฟเฟ่ท์เป็น Idol ของตัวเอง และอยากจะเป็นนักลงทุนแบบ VI เพื่อที่จะร่ำรวยแบบบัฟเฟ่ท์ แต่ไม่เคยทำได้หรอกครับ น้อยคนนัก เพราะขาดความ "อึด" หรือความอดทนนั่นเอง อดทนที่จะรอ อดทนที่จะดูกำไรเติบโต อดทนที่จะอดกินเล็กไปกินใหญ่ อะไรประมาณนั้น มันทำยากครับ จริงๆ
          ประเภทที่ 2 นักลงทุนเก็งกำไร ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่าเข้ามาเก็งกำไร เข้าเร็ว ออกเร็ว ไม่ถือนาน นักเก็งกำไรเหล่านี้นั้นจะไม่เก็บหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ไว้ในพอร์ตนานนักครับ เมื่อเขาสบโอกาสได้กำไรในจำนวนที่น่าพอใจแล้วก็จะขายไปในทันที ซึ่งระยะเวลาในการถือหุ้นในพอร์ตแต่ละตัวนั้นก็อยู่ในช่วงระยะสั้นถึงระยะกลางครับ เช่น เป็นอาทิตย์ เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี บางคนเป็นนัก day trade จริงๆ ก็อาจเข้าเช้าออกเย็นเลยก็มีครับ นักลงทุนที่เป็นนักเก็งกำไรนั้นจะซื้อหุ้นแต่ละตัวก็ใช้พื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ เช่นกัน แต่เขาไม่ได้ดูอะไรมากมายครับ ให้รู้แค่ว่ากิจการดี งบดี ไม่เจ๊ง และไม่มีข่าวร้ายๆ เป็นพอ สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนแนวเก็งกำไรเหล่านี้ใช้ในการหาหุ้นที่จะลงทุน คือดู เทคนิคหุ้น ตัวนั้นๆ ครับและรวมถึงข้อมูลทางสถิติต่างๆ เทคนิคหุ้นนั้น เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ศึกษาและใช้กันมาช้านานแล้วครับ มีมากมายหลายเทคนิคเหลือเกิน ไปว่าจะเป็นการใช้ indicator หรือตัวชี้วัดต่างๆ การใช้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ การดูแนวโน้มของกราฟหุ้น กราฟแท่งเทียน ฯลฯ ให้ศึกษาจริงๆ ก็หนังสือเป็นเล่มๆ หลายเล่มด้วยล่ะครับ (ซึ่งผมจะค่อยๆ เพิ่มเติมความรู้เทคนิคหุ้นให้ทีละหน่อยนะครับ) นักลงทุนเหล่านี้จะวิเคราะห์หุ้นรายตัว โดยใช้เทคนิค เข้ามาช่วย ดูว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีสัญญาณอย่างไร เป็นจังหวะเข้าซื้อที่ดีหรือไม่ หรือว่าเป็นจังหวะที่ควรขายแล้ว จะให้พูดจริงๆ มันก็เป็นการคาดเดาอย่างหนึ่งนั่นแหละครับ แต่เป็นการคาดเดาที่ประกอบขึ้นด้วยทฤษฎีอ้างอิง ข้อมูลเชิงสถิติ ที่มีเหตุผลและเชื่อถือได้นั่นเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ก็จะมีนิสัยที่ต้องการเห็นความสำเร็จหรือผลกำไรที่รวดเร็ว ไม่ใช้เวลานาน และเป็นผู้ที่ต้องมีวินัยในการเทรดหรือการลงทุน ซื้อหุ้น อย่างมากครับ เพราะหากเล่นโดยเทคนิคแล้วขึ้นชื่อว่าเป็นการคาดเดาอย่างหนึ่งอะไรมันก็ไม่แน่นอนได้ครับ การมีวินัยคือต้องกำหนดเป้าหมาย กำไร ขาดทุนไว้อย่างดี หากเข้าผิดทางเกิดขาดทุน ก็จะต้องจำใจตัดขาดทุน หรือขายในราคาที่ขาดทุนในเป้าขาดทุนที่วางไว้ว่าไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป หากเพื่อนเป็นนักเก็งกำไรที่ไม่มีวินัยในการเทรดหรือซื้อขายหุ้นเลย เพื่อนๆ ก็จะผิดแนวทางปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์หุ้นลงก็บอกว่าเดี๋ยวก็ขึ้น คิดอย่างนี้ไม่ได้ครับ
          เพื่อนๆ ก็ได้ทำความรู้จักกับประเภทของนักลงทุน 2 ประเภทหลักๆ ไปแบบคร่าวๆ แล้ว ให้เพื่อนได้ลองศึกษาและเรียนรู้ทำความเข้าใจกับนิสัยของตนเองว่าเหมาะสมที่จะเป็นนักลงทุนประเภทไหน พร้อมทั้งหาแนวทางของตัวเองให้เจอ สิ่งสำคัญหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้นต่างพากันเจ๊งขาดทุนกันไปตามๆ กัน คือ ขาดวินัย คำว่าวินัยนี้สำคัญเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ ต้องพยายามทำความเข้าใจและยึดปฏิบัติให้ได้ หลายคนเข้าซื้อหุ้นโดยจะเก็งกำไรหุ้นตัวนี้ พอเอาเข้าใจหุ้นร่วงขาดทุนไม่เป็นท่า แล้วปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ขึ้น จะลงทุนระยะยาวบ้าง บอกว่าตัวเองเป็นแนว VI บ้าง หรือเข้าซื้อหุ้นตามกระแสเป็นแมลงเม่า บอกว่าหุ้นตัวนี้ต้องดี ต้องขึ้นอีกเยอะ โดยไม่ดูพื้นฐานเลย ไม่ก็เห็นกำไรงดงามยังคงดื้อถือไว้ ทั้งๆ ที่ตลาดมันส่งสัญญาณลง หุ้นก็ลงตามขาดทุนกันไปอีก หรือกำไรหล่นหายไป เหล่านี้แหละครับ ขาดวินัย ต้องค้นพบแนวทางของตัวเอง และตั้งมั่นแน่วแน่กับแนวทางนั้น ห้ามเปลี่ยนแนวทางกลางคันโดยเด็ดขาด หากขาดวินัยก็จะนำมาซึ่งคำว่า เจ๊ง กับ เจ๊ง เท่านั้นครับ!!

07 พฤษภาคม 2554

เปิดบัญชีกับบมจ.บัวหลวง


          สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ตลาดหุ้นไทยพักฐานลงแรงเหมือนกัน เมื่อวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. 2554 ตลาดปิดที่ 1,050.85 จุด ปรับตัวลดลง 23.02 จุด ด้วยต่างชาติขายสุทธิที่ 3,000 กว่าล้านบาท เรียกว่ายังคงขายสุทธิต่อเนื่องมาทั้งสัปดาห์ ผมอยากจะให้เพื่อนๆ ศึกษาเหตุการณ์ให้ดีๆ ผมนำกราฟรายวันของดัชนี SET มาให้ดู ผมจะยังไม่ลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับเชิงเทคนิคมากนัก แต่จะอธิบายว่า SET จะลงต่อไปอีกแค่ไหน ให้สังเกตว่าตอนนี้ดัชนีเลยเส้นสีเหลืองซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่ 40 วันแล้ว หากยังไม่มีสัญญาณดีดขึ้น มันก็ต้องเลยไปทดสอบที่เส้นสีฟ้าหรือค่าเฉลี่ย 75 วัน เป็นการดูหยาบๆ แต่นักวิเคราะห์ได้ให้เส้น Trend line ไว้ที่เส้นสีขาว เพื่อนๆ จะเห็นว่าตอนนี้มันถึง Trend line นั้นแล้ว ในวันจันทร์หน้าที่ตลาดหุ้นจะเปิด หากดัชนีเลยที่เส้นนี้ มันก็จะลงแรงต่อไป แต่หากไม่ลงและมีสัญญาณขึ้น มันจะดีดกลับขึ้นมาแรงเช่นกัน อยากให้เข้าใจและศึกษาเก็บเกี่ยวข้อมูลเหล่านี้และหัดดูวิเคราะห์บ่อยๆ เพื่อนๆ จะไม่หลงตามกระแส เห็นตลาดตกแรงก็อยากจะขายออกให้เร็วกลัวขาดทุน แต่ในทางตรงข้ามคนที่เขามองตลาดออก วิเคราะห์เป็นเขาจะทำตรงกันข้ามครับ การดูสิ่งเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ มองตลาดออกว่ามันจะไปในทิศทางไหน หมั่นศึกษาไว้ มันก็มีลักษณะอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ วนไปมาอย่างนี้ เพราะประวัติศาตร์มันซ้ำรอยเสมอ
          ในบทความที่แล้วนั้นผมได้กล่าวถึงโบรกเกอร์ หรือนายหน้าค้าหุ้น ให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจถึงงหน้าที่คร่าวๆ ของโบรกเกอร์ ซึ่งรายละเอียดยังมีอีกมาก ให้เพื่อนๆ ลองอ่านในหนังสือที่ผมแนะนำไปได้นะครับ หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม ในบทความนี้ผมจะแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังจะเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ถึงวิธีการขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ผมขอยกตัวอย่างการเปิดบัญชีซื้อขายหลักย์กับบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง นะครับ ส่วนหากเพื่อนๆ อยากจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์อื่นๆ ก็สามารถทำได้เพราะมีลักษณะการขอเปิดบัญชีแบบเดียวกันนี่เอง หากเพื่อนๆ ต้องการเปิดบัญชี Cash Balance โดยทำการซื้อขายหุ้นผ่านระบบอินเตอร์เน็ตด้วยตัวเอง ที่ผมได้แนะนำไปในบทความที่แล้ว โดยบัญชีประเภทนี้จะเป็นบัญชีประเภทที่เหมาะสำหรับคนที่ยังใช้เงินลงทุนน้อย และสามารถควบคุมการใช้เงินลงทุนของเราได้ดี เพราะว่าบัญชีนี้ก็เสมือนบัญชีธนาคารง่ายๆ ที่เพื่อนๆ สามารถทำการโอนเงินเข้าออกได้ปกติ จะซื้อหุ้นก็ต้องใช้เงินที่มีอยู่ในบัญชีแล้วเท่านั้น นั่นเอง ผมจะขออธิบายขั้นตอนการขอเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นข้อๆ นะครับ ว่าแล้วก็ลุย
  1. ขั้นตอนแรกต่อไปทำการกรอกคำขอที่เว็บไซต์ก่อน เข้าสู่เว็บไซต์บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง http://www.bualuang.co.th/th/index.php และให้เลือกเมนูเปิดบัญชี หรือ Account Opening
  2. จะเข้าสู่หน้าเว็บที่ให้ทำการกรอกรายละเอียด แบบคำขอเปิดบัญชี เพื่อนๆ ก็กรอกรายละเอียดไปให้ครบถ้วน และกด Submit
  3. จากนั้นเพื่อนๆ ก็รอครับ ทางเจ้าหน้าที่เขาจะส่งเอกสารคำขอเปิดบัญชีมาให้ทางเมล์ เป็นไฟล์ PDF หรือไฟล์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะใช้เวลาประมาน 1-2 วันทำการในการส่งเอกสารมาให้ทางอีเมล์นะครับ
  4. เพื่อนๆ ก็นำเอกสารนั้นปริ้นออกมา และทำการกรอกรายละเอียดข้อมูลให้ครบถ้วน หากไม่แน่ใจรายละเอียดส่วนไหนให้แนะนำโทรถามเลยนะครับ อย่าอาย ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลายเซ็นต์ ของเพื่อนๆ ที่จะต้องเซ็นต์ทุกๆ ที่ที่เขาไฮไลต์ให้นะครับ ก่อนจะส่งเอกสารกลับไป
  5. เมื่อเพื่อนๆ ทำการกรอกและเซ็นต์เอกสารครบถ้วนแล้ว ต้องมาเตรียมเอกสารประกอบการเปิดบัญชีต่อ โดยที่บมจ.บัวหลวงนี้ มีเอกสารขอเปิดบัญชีดังนี้ 1.สำเนาบัตรประชาชน  2.สำเนาทะเบียนบ้าน หน้าที่มีชื่อเรา  3.สำเนาสมุดบัญชีธนาคารหน้าแรกที่จะใช้ในการเปิดบัญชี  อย่างละ 2 ชุดนะครับ โดยที่ทุกๆ เอกสารจะต้องเซ็นต์สรับรองำเนาถูกต้องด้วย
  6. เมื่อเอกสารครบแล้วก็ไปที่ไปรษณีย์ครับ ส่งเอกสารไปที่ ฝ่าย Internet Team  ชั้น 31 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ 191 ถ.สีลม บางรัก กทม. 10500
  7. สิ่งสำคัญสุดท้าย หยอดเงินลงไปในซองจดหมาย 30 บาทนะครับ หรือเป็นอากรสแตมป์ก็ได้
  8. เรียบร้อยแล้วก็ปิดผนึก ส่งเอกสารโลด
          เรียบร้อยแล้วครับ ขั้นตอนการขอเปิดบัญชีกับ บมจ.บัวหลวง จากนี้เมื่อเอกสารถึงมือผู้รับผิดชอบแล้ว เขาจะโทรติดต่อกลับมาหาเพื่อนๆ อีกที โดยอาจจะถามข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้การขอเปิดบัญชีนั้นเสร็จสมบูรณ์ และเขาก็จะเปิดบัญชีให้กับเราครับ

03 พฤษภาคม 2554

โบรกเกอร์นายหน้าค้าหุ้น

          สวัสดีครับ แว่วมาว่าตลาดหุ้นปิดทำการเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เม.ย. 2554 ดัชนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.25 จุด ปิดบวกที่ 1,093.56 จุด โดยรวมแล้วดัชนีก็ยังทรงตัว มีระดับการผันผวน อยู่ในช่วงพักฐาน ซึ่งยังไม่ลงมาเลยแนวรับสำคัญที่ประมาณ 1,085 จุด หุ้นใหญ่เงียบ แต่หุ้นเล็กรุ่ง!! ในสัปดาห์คงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการยุบสภาว่าจะส่งผลอย่างไรกับตลาดบ้าง ต้องดูกันต่อไปครับ
การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นนั้น ไม่เหมือนเดินเข้าไปในตลาดสดหยิบเงินให้แล้วเอาของมานะครับ การซื้อขายหุ้นนั้นจะต้องกระทำการผ่านนายหน้าค้าหุ้นที่เค้าเรียกกันว่า "โบรกเกอร์" โบรกเกอร์เหล่านี้จะเป็นบริษัทที่มีหน้าที่เป็นตัวแทนค้าหุ้นให้กับลูกค้าหรือนักลงทุนนั่นเอง ทุกๆ ครั้งที่เพื่อนๆ จะทำการซื้อหรือขายหุ้นตัวใดจำนวนเท่าใด จะต้องละเอียดลึกๆ ว่าโบรกเกอร์คืออะไร มีที่มาอย่างไรทำผ่านโบรกเกอร์ทั้งนั้นซึ่งแน่นอนครับโบรกเกอร์เหล่านี้ก็จะได้เงินจากค่าคอมมิชชั่นที่เกิดขึ้นในการกระทำการซื้อหรือขายของเพื่อนๆ ในแต่ละครั้งนั่นเอง รายให้เพื่อนๆ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมเองนะครับ ผมจะไม่พูดถึงลงลึกมาก เอาคร่าวๆ ให้เข้าใจว่าเขาเป็นใครพอในขั้นนี้ ดังนั้นก่อนเพื่อนๆ จะทำการลงทุนในตลาดหุ้น จึงต้องเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับโบรกเกอร์ก่อนนั่นเอง ไม่งั้นเพื่อนๆ ก็จะซื้อขายหุ้นไม่ได้ครับ บัญชีหลักทรัพย์เปรียบเสมือนบัญชีธนาคารที่เราสามารถนำเงินฝากถอนได้และนำเงินที่เราฝากไว้ในบัญชีนั่นแหละไปซื้อหุ้น
          สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น นั่นคือ การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีและเหมาะสมกับสไตล์ของตัวเองครับ แต่ในเมือ Blog นี้เป็น Blog สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ และยังเยาว์วัย ทุนน้อยทั้งหลาย ผมก็จะแนะนำการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับสไตล์ของเราๆ ให้แล้วกัน เนื่องจากโบรกเกอร์นั้นเขาหารายได้จากค่าคอมมิชชั่นที่เราจะต้องเสียให้ในการซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่จะมีการแข่งขันกันระหว่างโบรกเกอร์เองทั้งในเรื่องค่าคอมมิชชั่นและบริการต่างๆ ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุนอย่างเราๆ ครับ หลักในการเลือกโบรกเกอร์ให้เหมาะสมกับเราที่สำคัญๆ คือบริการข่าวสารในการลงทุน บทวิเคราะห์ต่างๆ ลองเข้าไปดูที่หน้าเว็บของเขาว่ามีประสิทธิภาพและน่าใช้เพียงใดเป็นต้นนะครับ ดูเจ้าหน้าที่ หรือโบรกของเขาว่าทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด สามารถบริการเราได้ถูกใจหรือไม่ ประมานนี้ แต่สำหรับเหล่านักลงทุนเยาว์วัย ทุนน้อยทั้งหลาย สิ่งที่ผมอยากให้ดูและสำคัญที่สุดคือ ค่าคอมมิชชั่น ต่างหากครับ
          ค่าคอมมิชชั่น เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนๆ เคาะคำสั่งซื้อ หรือขาย และกระทำสำเร็จ นั่นคือเพื่อนๆ จะเสียค่าคอมมิชชั่นให้โบรกเกอร์ของเพื่อนๆ นั่นเอง โดยค่าคอมมิชชั่นนี้คิดเป็นเปอร์เซ็นจากเงินที่เพื่อนๆ ใช้ในการซื้อหรือขายในครั้งนั้นนั่นเอง ซึ่งอยู่ที่ 0.25% สำหรับการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ (ห้องค้าหรือโทร.) หรือ 0.15% สำหรับซื้อขายเองผ่านอินเตอร์เน็ต (โดย streaming pro เป็นต้น) ดังนั้นไม่ต้องถามครับว่าเราจะเลือก rate ราคาไหน 0.15% โดยซื้อขายเองผ่านอินเตอร์เน็ตนั่นเอง 55+ นั่นหมายความว่าเพื่อนๆ จะไม่ได้รับคำแนะนำโดยตรงผ่านโทร.จากโบรกเกอร์ในการซื้อขาย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าคอมมิชชั่นที่สูงถึง 0.25% มันสูงเกินไปสำหรับเราน่ะ 0.15% ถือว่าโอเคครับ ซึ่งมันก็ rate นี้ทุกๆ โบรกเกอร์นะ ลองเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ อัตราค่า Commission ของแต่ละโบรกเกอร์
          สุดท้ายเลยคือ เวลาเพื่อนๆ เลือกดูค่าคอมมิชชั่นของแต่ละโบรกเกอร์เค้าแล้ว อย่าลืมดูหมายเหตุด้วยนะครับ เพื่อนๆ จะเจอคำว่า "ขั้นต่ำ 50 บาท" นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่ผมต้องการ หมายความว่าอย่างไร ?? มันมีความหมายว่าหากคิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0.15% นะครับ สมมติเพื่อนๆ ซื้อหุ้น A ไปเป็นเงินทั้งหมด 5,000 บาท และในวันนั้นเพื่อนๆ ไม่ได้กระทำการซื้อหรือขายใดๆ อีกเลย หรือมีแค่คำสั่งซื้ออันนั้นอันเดียว เพื่อนๆ จะเสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายวันนี้เป็นเงินประมาณ 8.5 บาท คือ (5000x0.15)/100 + VAT 7% -->> ใช่หรือไม่?? ,, ไม่ใช่ครับ เพื่อนๆ จะต้องเสียค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน 50 บาทเต็มๆ!! นั่นเพราะเขาคิดขั้นต่ำต่อวันที่ 50 บาท หมายความว่าหากค่าคอมมิชชั่นที่เสียจริงในวันนั้นไม่เกิน 50 บาทแล้วละก็ เพื่อนๆ จะต้องเสียเท่ากับ 50 บาททันที ประมาณนั้น หนาวเลยครับ มีทุน 5,000 เสียวันละ 50 ลองคิดเล่นๆ ว่าตูจาทำกำไรวันละ 2% = 100 บาท เราก็ต้องเสียค่าคอมไปแล้วครึ่งนึงครับ ชีวิต!! ดังนั้นเพื่อนๆ จึงควรตั้งใจเลือกโบรกเกอร์ดีๆ ที่เขาไม่คิดค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำต่อวันนั่นเอง มันมีๆ 55+ ผมจะยกตัวอย่างโบรกเกอร์ที่ไม่คิดค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำต่อวัน อย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ หรือ ยูโอบีเคย์เฮียน ถ้าให้ผมแนะนำ ผมเลือกเปิดบัญชีที่บัวหลวงนะครับ เว็บไซต์ดี ข้อมูลดี ขั้นต่ำไม่มี เปิดบัญชีง่าย และมีบริการหรือเครื่องมือเยอะ
          เลือกโบรกเกอร์ที่ดี ก็มีชัยเกินไปกว่าครึ่ง นอกจากจะดูบริการและข้อมูลที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับคนทุนน้อยก็คือดูค่าคอมมิชชั่นด้วยครับ เพราะหากไม่ดูตาม้าตาเรือ แทนที่จะได้กำไรที่งดงาม ระวังจะถูกละลายไปกับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่รู้ตัว แล้วจะหาว่าผมไม่เตือนนนน !!